นั่งรถไฟ KIHA 183 ชวนแต่งไทย ไปเที่ยวเมืองรอง ล่องเมืองลิง ชมงานแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

นั่งรถไฟ KIHA 183 ชวนแต่งไทย ไปเที่ยวเมืองรอง ล่องเมืองลิง

ชมงานแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช





            การรถไฟแห่งประเทศไทย ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานลพบุรี สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) สำนักข่าวท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อม จัดกิจกรรม "นั่งรถไฟ KIHA 183 ชวนแต่งไทยไปเที่ยวเมืองรอง เที่ยวล่องเมืองลิง เที่ยววัง งานแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช นำนักท่องเที่ยว 200 คนเดินทางทองเที่ยวชมโบราณสถานจังหวัดลพบุรี โดยมารยาท เมืองไทเป ครีเอทีฟ แอนด์ ทัวร์ เป็นผู้ดำเนินการพาท่องเที่ยว





             คณะนักท่องเที่ยวนัดพบกันที่บริเวณชานชาลาที่ 4 - 5 สถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) เมื่อได้เวลา ขบวนรถไฟขบวนรถพิเศษ KIHA 183 ก็ออกเดืนทางมุ่งสู่จังหวัดลพบุรี เมื่อไปถึงสถานีลพบุรี เมื่อนักท่องเที่ยวลงจากรถไฟแล้ว ก็เดินข้ามถนนไปที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ อำเภอเมือง ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามสถานีรถไฟลพบุรี  โดยมีนางสาวอารีย์ ฤกษ์สภาพ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานลพบุรี นายมหิทธร สุรบุญจรัส ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดลพบุรี และนายสุรนันท์ ปานเครือ นายสถานีรถไฟลพบุรี ได้กล่าวต้อนรับคณะนักท่องเที่ยว "นั่งรถไฟ KIHA183 ชวนแต่งไทย ไปเที่ยวเมืองรอง ล่องเมืองลิง เที่ยวงานแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช" 





      จากนั้นคณะนักท่องเที่ยวก็เดินเที่ยวชม "วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ" พระอารามหลวง มรดกทางประวัติศาสตร์ที่ทรงคุณค่า เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งประวัติศาสตร์ ที่สะท้อนให้เห็นถึงอารยธรรมโบราณได้เป็นอย่างดี ไม่ปรากฎหลักฐานประวัติความเป็นมาที่แน่ชัดว่าสร้างในสมัยใด แต่ด้วยรูปแบบของพระปรางค์และอาคารสถาปัตยกรรมต่างๆ ที่ปรากฎอยู่ภายในวัด ทำให้คาดคะเนได้ว่า วัดพระศรีรัตนมหาธาตุแห่งนี้สร้างขึ้นก่อนตั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ปรางค์ประธานนั้นได้รับอิทธิพลจากงานศิลปกรรมของเขมรโบราณ เนื่องจากในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16 เขมรโบราณได้ขยายอิทธิพลมาในดินแดนของไทย ละโว้จึงได้รับเอาวัฒนธรรม และรูปแบบศิลปกรรมมาสร้างศาสนสถานต่างๆ เช่น พระปรางค์สามยอด ปรางค์แขก ที่เราเห็นกัน ณ ปัจจุบันที่เมืองลพบุรีแห่งนี้ เหตุที่ได้ชื่อว่า "วัดพระศรีมหาธาตุ" ก็เพราะว่าภายในวัดมีพระธาตุเจดีย์ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุที่สำคัญอยู่ในวัด เชื่อกันว่าการสร้างพระธาตุเจดีย์นั้นเปรียบดั่งพระจุฬามณีเจดีย์สถานที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุประกอบไปด้วย 3 ส่วนคือ ส่วนฐาน ส่วนครรภธาตุ และเครื่องบนที่เป็นชั้นๆ ลดหลั่นกัน ซึ่งรูปการของส่วนของของที่นี่ทำเป็นฐานบัวลูกฟัก ซึ่งเป็นรูปแบบที่นิยมสร้างในปราสาทเขมรโบราณหรือขอมที่อยู่ในประเทศไทย ส่วนกลางของพระปรางค์หรือเรือนธาตุนั้นมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ที่ผนังจระนำ ในปัจจุบันพระพุทธรูปนั้นผุกร่อนไปจนแทบไม่เห็นแล้ว รูปแบบทรวดทรงของปรางค์วัดดูแล้วสชะลูดกว่าปรางค์ขอมแบบดั้งเดิม ถ้าเรานำรูปถ่ายพระปรางค์สามยอด และพระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุมาเทียบกันจะเห็นได้ชัดว่า พระปรางค์ของที่นี่สูงกว่า เพรียวกว่าพระปรางค์สามยอดที่สร้างโดยรับอิทธิพลเขมรโบราณ แบบบายน ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 อย่างเห็นได้ชัด ลวดลายปูนปั้นประดับพระปรางค์ เมื่อพิจารณาลวดลายต่างๆ ทำให้ทราบได้ว่า พระปรางค์องค์นี้นั้นสร้างขึ้นก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี และถูกบูรณะในสมัยอยุธยา โดยลายปูนปั้นยุคแรกที่เริ่มสร้างพระปรางค์นั้นได้รับอิทธิพลเขมรโบราณ เช่น ลายกรวยเชิงประดับเหนือชุดลวดบัวเชิงบาตร ลายเฟื่องอุบะที่ประดับใต้ชุดลวดบัวรัดเกล้า และลวดลายในสมัยกรุงศรีอยุธยาที่มีการบูรณะนั้นก็เช่น ลายกระหนกแบบอยุธยาตอนต้น และเมื่อสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชพระองค์เสด็จมาประทับที่ลพบุรีปีละ 9 เดือน ท่านก็ได้มาบูรณะพระปรางค์องค์นี้ด้วย นอกจากปรางค์ประธานแล้ว ภายในวัดยังมีเจดีย์ราย และปรางค์บริวารรูปแบบต่างๆ อีกหลายองค์ ซึ่งก่อสร้างขึ้นมาเรื่อยๆ ในแต่ละยุคสมัย ทำให้เห็นว่า วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เมืองลพบุรีแห่งนี้มีความสำคัญมากๆ หลังเดินชมความสวยงามแล้ว คณะนักท่องเที่ยวก็ร่วมสักการะขอพร "พระพุทรลวบุรารักษ์" เป็น พระพุทธรูปปางสมาธินาคปรกที่ประดิษฐานอยู่ภายใน วิหารหลวงหรือวิหารเก้าห้อง และสักการะ พระปรางองค์ใหญ่ เป็นพระปรางค์องค์ใหญ่ที่สูงที่สุดในจังหวัดลพบุรี สร้างเป็นพุทธเจดีย์





            กราบสักการะขอพรเรียบร้อย คณะนักท่องเที่ยวก็ขึ้นรถสองแถวเดินทางไปเยี่ยมชม "บ้านหลวงรับราชทูต" หรือ "บ้านวิชาเยนทร์"   ระหว่างทางผ่านศาลพระกาฬ และพระปรางค์สสามยอด "บ้านวิชาเยนทร์" เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์อีกแห่งหนึ่ง อยู่บนถนนวิชาเยนทร์ ห่างจากปรางค์แขกประมาณ 300 เมตร ทางทิศเหนือของพระนารายณ์ราชนิเวศน์และวัดเสาธงทอง ทางตะวันตกใกล้กับวัดปืน และทางตะวันออกใกล้กับเทวสถานปรางค์แขก สร้างขึ้นราวปี พ.ศ. 2228 ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ที่มีอิทธิพลรูปแบบของสถาปัตยกรรมแบบอินโด เปอร์เซีย เพื่อใช้รับรองเอกอัครราชทูตจากฝรั่งเศสของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14   ซึ่งเป็นทูตจากฝรั่งเศสชุดแรกที่เข้ามาเจริญพระราชไมตรี เมื่อ พ.ศ. 2228 สถานที่นี้จึงได้ชื่อว่า บ้านหลวงรับราชทูต ต่อมา "คอนสแตนติน ฟอลคอน" (Constantine Phaulkon) ชาวกรีก ได้เข้ามารับราชการได้รับความดีความชอบ และได้รับการแต่งตั้งให้เป็น “เจ้าพระยาวิชาเยนทร์” สมุหนายกชาวตะวันตกในราชสำนักสยาม และสมเด็จพระนารายณ์ได้พระราชทานที่พักอาศัยทางทิศตะวันตกของบ้านหลวงรับราชทูตให้แก่เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ท่านจึงได้ทำการปรับปรุง ก่อตึกสี่เหลี่ยมอันใหญ่ และตึกเวียนมีกำแพงแก้วล้อมรอบ เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยพร้อมกับครอบครัว และได้สร้างโบสถ์ Notre-Dame De Laurette ขึ้น จึงเรียกตึกนี้ว่า บ้านเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ อีกชื่อหนึ่ง บ้านหลวงรับราชทูตเป็นอาคารที่สร้างด้วยอิฐ ตามรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา มีกำแพงล้อมโดยรอบ พื้นที่บริเวณบ้านหลวงรับราชทูตแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนทางทิศตะวันตกเป็นกลุ่มอาคาร ได้แก่ ตึกสองชั้นหลังใหญ่ ก่อด้วยอิฐและอาคารชั้นเดียวแคบยาว ซุ้มประตูทางเข้าเป็นรูปโค้งครึ่งวงกลม ส่วนกลางมีอาคารที่สำคัญคือ ฐานของสิ่งก่อสร้างซึ่งเข้าใจว่าเป็นหอระฆัง และ โบสถ์เป็นแบบยุโรปมีซุ้มประตูหน้าต่างเป็นซุ้มเรือนแก้ว มีเสาปลายเป็นรูปกลีบบัวยาว ซึ่งเป็นศิลปแบบไทย โบสถ์หลังนี้ถือกันว่าเป็นโบสถ์คริสตศาสนาหลังแรกในโลกที่ตกแต่งด้วยลักษณะของโบสถ์ทางพระพุทธศาสนา ซึ่งอยู่ทางด้านหลังซุ้มประตูทางเข้าเป็นรูปจั่ว ส่วนทิศตะวันออก ได้แก่ กลุ่มอาคารใหญ่ก่ออิฐถือปูนสูง 2 ชั้น   หน้าต่างและซุ้มประตูแสดงให้เห็นลักษณะศิลปตะวันตกแบบเรอเนสซองต์ มีบันไดขึ้นทางด้านหน้าเป็นรูปครึ่งวงกลม ซุ้มประตูทางเข้ามีลักษณะเช่นเดียวกับทางทิศตะวันตก





           หลังชมสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ พร้อมทราบประวัติความเป็นมา คณะนักท่องเที่ยวก็ออกเดินทางไปร่วมงาน "แผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์หาราช" ณ พระนารายณ์ราชนิเวศน์ ตั้งอยู่ในเขตตำบลท่าหิน อำเภอเมืองลพบุรี ที่อยู่ใกล้ๆ กัน พระนารายณ์ราชนิเวศน์ เป็นพระราชวังที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชโปรดให้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2209 บนพื้นที่ 41 ไร่ เพื่อใช้สำหรับเป็นที่ประทับ ล่าสัตว์ ออกว่าราชการ และต้อนรับแขกเมืองและทรงโปรดเสด็จมาประทับที่นี่มากถึงปีละ 8-9 เดือน โดยแบ่งเป็นเขตพระราชฐานชั้นนอก เขตพระราชฐานชั้นกลาง และเขตพระราชฐานชั้นใน กำแพงพระราชวังก่ออิฐถือปูน มีใบเสมาเรียงรายบนสันกำแพง มีซุ้มประตูทั้งหมด 11 ประตู ประตูทางเข้าเป็นทรงจัตุรมุขมีช่องโค้งแหลม จั่วซุ้มประตูตกแต่งลายกระจังปูนปั้นที่วิวัฒนาการมาจากดอกบัว ซุ้มประตูและกำแพงพระราชฐานชั้นกลางและชั้นใน มีช่องเล็กๆ เจาะเป็นรูปโค้งแหลมคล้ายบัวเรียงเป็นแถวสำหรับวางตะเกียงประมาณ 2,000 ช่อง ส่วนสิ่งที่น่าสนใจที่สร้างขึ้น ได้แก่ "พระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาท" เป็นพระที่นั่งที่มีศิลปะแบบผสมผสานระหว่างไทยและฝรั่งเศส เดิมเป็นท้องพระโรงมียอดแหลมทรงมณฑป ตรงกลางท้องพระโรงมีสีหบัญชร ซึ่งเป็นที่เสด็จออกเพื่อทรงมีพระราชปฏิสันถารกับผู้เข้าเฝ้า ประตูและหน้าต่างท้องพระโรงซึ่งอยู่ด้านหน้าทำเป็นโค้งแหลม ส่วนตัวมณฑปซึ่งอยู่ด้านหลังทำประตูหน้าต่างเป็นซุ้มแบบไทยคือ ซุ้มเรือนแก้วฐานสิงห์ ในจดหมายเหตุทูตฝรั่งเศส กล่าวพรรณนาพระที่นั่งว่าตามผนังประดับด้วยกระจกเงา ซึ่งนำมาจากฝรั่งเศส เพดานแบ่งเป็นช่องสี่เหลี่ยมจัตุรัส 4 ช่อง ประดับด้วยลายดอกไม้ทองคำ และแก้วผลึกที่ได้มาจากเมืองจีนงดงามมาก ผนังด้านนอกพระที่นั่งตรงมณฑปชั้นล่างเจาะเป็นช่องโค้งแหลมไว้สำหรับวางตะเกียง ซึ่งจะเห็นได้อีกเป็นจำนวนมาก ตามซุ้มประตูและกำแพงของพระราชวัง สมเด็จพระนารายณ์ฯ เคยเสด็จออกรับคณะราชทูตฝรั่งเศส เชอวาลิเยร์ เดอ โชมองต์ ที่พระที่นั่งองค์นี้เมื่อปี พ.ศ. 2228 ด้วย "พระที่นั่งจันทรพิศาล" สร้างในปี พ.ศ. 2208 เป็นที่ประทับของสมเด็จพระนารายณ์ฯ สร้างทับลงไปบนรากฐานเดิมของพระที่นั่งซึ่งพระราเมศวรโอรสองค์ใหญ่ของพระเจ้าอู่ทองได้ทรงสร้างเมื่อครั้งครองเมืองลพบุรี พระที่นั่งองค์นี้เป็นสถาปัตยกรรมแบบไทยแท้ ด้านหน้ามีมุขเด็จ ภายหลังเมื่อได้สร้างพระที่นั่งสุทธาสวรรค์ขึ้น สมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงย้ายไปประทับที่พระที่นั่งองค์ใหม่และโปรดฯ ให้ใช้พระที่นั่งจันทรพิศาลเป็นที่ออกขุนนาง ซึ่งตรงกับบันทึกของชาวฝรั่งเศสว่าเป็นหอประชุมองคมนตรี "พระที่นั่งสุทธาสวรรค์" เป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของสมเด็จพระนารายณ์ ตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นใน บันทึกของชาวฝรั่งเศส กล่าวว่า พระที่นั่งองค์นี้อยู่ในพระราชอุทยานที่ร่มรื่น ทรงปลูกพรรณไม้ต่าง ๆ ด้วยพระองค์เอง หลังคาพระที่นั่งมุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีเหลือง ที่มุมทั้งสี่มีสระน้ำใหญ่สี่สระ เป็นที่สรงสนานของพระเจ้าแผ่นดิน สมเด็จพระนารายณ์ฯ สวรรคต ณ พระที่นั่งองค์นี้เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2231 "ตึกพระเจ้าเหา" อยู่ทางด้านใต้ของเขตพระราชฐานชั้นนอก ตึกหลังนี้แสดงให้เห็นถึงลักษณะเป็นสถาปัตยกรรมสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ ได้อย่างชัดเจนมาก เป็นตึกรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง 10 เมตร ยาว 20 เมตร ยกพื้นสูงขึ้นไปประมาณ 1 เมตร ตัวตึกเป็นรูปทรงไทย ฐานก่อด้วยอิฐศิลาแลงและก่ออิฐขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง ปัจจุบันเหลือแต่ประตูหน้าต่าง ทำเป็นซุ้มเรือนแก้วฐานสิงห์ ด้วยเหตุว่าภายในตึกมีฐานชุกชีปรากฏให้เห็นอยู่ และชาวฝรั่งเศสได้ระบุว่าเป็นวัด จึงสันนิษฐานว่าเป็นหอพระประจำพระราชวัง ตึกพระเจ้าเหา หรือ พระเจ้าหาว ซึ่งคำว่า หาว เป็นภาษาไทยโบราณหมายถึงท้องฟ้า ในปลายรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ พระเพทราชาและขุนหลวงสรศักดิ์ใช้ตึกพระเจ้าเหา เป็นที่นัดแนะประชุมขุนนางและทหารเพื่อแย่งชิงราชสมบัติขณะที่สมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงพระประชวรหนัก "ตึกรับรองแขกเมือง" อยู่ในเขตพระราชฐานชั้นนอก เป็นสถาปัตยกรรมแบบฝรั่งเศส บันทึกของชาวฝรั่งเศสกล่าวว่า ตึกหลังนี้อยู่กลางอุทยานซึ่งแบ่งเป็นช่องสี่เหลี่ยมจัตุรัสรอบตึก มีคูน้ำล้อมรอบ ภายในคูน้ำมีน้ำพุเรียงรายเป็นระยะอยู่ 20 แห่ง ด้านหน้าตึกเลี้ยงรับรองมีรากฐานเป็นอิฐแสดงให้เห็นว่าตึกหลังเล็ก ๆ คงจะเป็นโรงมหรสพ ซึ่งมีการแสดงให้แขกเมืองชมภายหลังการเลี้ยงอาหาร สมเด็จพระนารายณ์ฯ ได้พระราชทานเลี้ยงแก่คณะทูตจากประเทศฝรั่งเศส ณ สถานที่นี้เมื่อปี พ.ศ. 2228 และปี พ.ศ. 2230 ภายหลังการสวรรคตของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระราชวังฯแห่งนี้จึงถูกทิ้งร้าง





      ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้บูรณะซ่อมแซมขึ้นใหม่อีกครั้งเมื่อปี พ.ศ. 2399 เพื่อใช้สำหรับเป็นที่ประทับ และเป็นราชธานีชั้นใน พร้อมทั้งพระราชทานนามว่า "พระนารายณ์ราชนิเวศน์" สำหรับสิ่งที่น่าสนใจที่สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้แก่  "หมู่พระที่นั่งพิมานมงกุฎ" สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2405 เพื่อเป็นที่ประทับของพระองค์เมื่อครั้งเสด็จฯ บูรณะเมืองลพบุรี ประกอบด้วยพระที่นั่ง 4 องค์ คือ พระที่นั่งพิมานมงกุฎ เป็นที่ประทับ พระที่นั่งวิสุทธิวินิจฉัย เป็นท้องพระโรงเสด็จออกว่าราชการแผ่นดิน พระที่นั่งไชยศาสตรากร เป็นที่เก็บอาวุธ และพระที่นั่งอักษรศาสตราคม ในสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงพระราชทานให้เป็นศาลากลางจังหวัด ต่อมาเมื่อศาลากลางจังหวัดย้ายไปอยู่ที่ใหม่ พระที่นั่งหมู่นี้จึงรวมกับพระที่นั่งจันทรพิศาล และหมู่ตึกพระประเทียบ เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์ "หมู่ตึกพระประเทียบ" เป็นเขตพระราชฐานฝ่ายใน สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับของเจ้านายฝ่ายในและข้าราชบริพารที่ตามเสด็จ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งเสด็จประพาสเมืองลพบุรี "ทิมดาบหรือที่พักของทหารรักษาการณ์" เมื่อเดินผ่านประตูทางเข้าเขตพระราชฐานชั้นกลางข้างประตูทั้ง 2 ด้าน ตรงบริเวณสนามหญ้าจะแลเห็นศาลาโถงข้างละหลัง คือตึกที่สร้างเพื่อเป็นที่พักของทหารรักษาการณ์ในเขตพระราชวัง





       ภายในงาน "แผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์หาราช" มีกิจกรรมมากมาย อาทิ ขบวนแห่ประวัติศาสตร์ พิธีบวงสรวงสมเด็จพระนารายณ์มหาราช การรำถวายมือ ตลาดย้อนยุค การแสดงแสง สี เสียง หลังไมค์ ชิม ช้อป จนพอใจ ก็ได้เวลาออกเดินทางไปสถานีลพบุรี เพื่อเดินทางกลับสถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) โดยขบวน KIHA 183 ถึงสถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) โดยสวัสดิภาพ
       นักท่องเที่ยวหรือผู้ที่สนใจ สามารถติดต่อสอบถาม หรือชื้อตั๋วได้ที่สถานีรถไฟทุกแห่ง หรือผ่านระบบ D-Ticket สอบตามข้อมูลเพิ่มเติมศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ Call Center 1690

เรื่อง/ภาพ...อนุรักษ์ มงคลชัยประทีป

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พิธีเททองหล่อหลวงพ่อพระนาคปรก ประดิษฐาน ณ พระอุโบสถวัดมัชฌิมาวาส

"ฉลอม" ประธาน TFOPTA นำทีมสมาชิก ลงพื้นที่จังหวัดระยอง จัดประชุมใหญ่สามัญ ประจำปี 2568

"𝐃𝐔𝐑𝐈𝐀𝐍 𝐅𝐄𝐒𝐓 𝟐𝟎𝟐5" บุฟเฟ่ต์ทุเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด พร้อมเสิร์ฟแล้ว ที่สวนละไม